วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2550

ฆ่าหั่นศพครูสาว! เล่นแชทเพื่อหาครูสอนเด็ก

ฆ่าหั่นศพครูสาว! เล่นแชทเพื่อหาครูสอนเด็ก

หนุ่ม-สาวนักแชท เผยประสบการณ์แชท พร้อม "เตือนภัย" โลกไซเบอร์ ระบุตรงกัน ไม่จำเป็น "อย่าเสี่ยง" นัดเจอเพื่อนแชทข้างนอก ระบุปกปิดข้อมูลส่วนตัว-ไม่ใช้รูปจริง หวั่นภัยถึงตัว

คดีสยองขวัญที่ นายโมฮัมหมัด อารีฟ อายุ 34 ปี ชาวปากีสถาน ก่อเหตุฆ่าหั่นศพ น.ส.ดิสนีย์ ทองนาคแท้ อายุ 28 ปี ครูสอนภาษาอังกฤษ สร้างความสลดใจไปทั่วประเทศ ขณะเดียวกันก็กลายเป็น "อุทาหรณ์" สอนใจบรรดา "นักแชท" ที่ชอบติดต่อสื่อสารหาเพื่อนใหม่ในโลกไซเบอร์ได้เป็นอย่างดี

ป าณิสรา คงดี วัย 21 ปี สาวนักศึกษามหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง ยอมรับว่า ตอนที่ได้ยินข่าวนี้ครั้งแรกรู้สึกตกใจมาก เพราะขณะนี้เธอเองคุยอยู่กับ "หนุ่มสเปน" คนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนชาติเดียวกับที่นายโมฮัมหมัดแอบอ้าง เพื่อหลอกลวงครูสาว ส่วนความสัมพันธ์ก็กำลังดำเนินไปด้วยดี และหนุ่มคนนี้ก็เป็นหนึ่งในเพื่อนทางอินเทอร์เน็ตหลายๆ คนที่เธอพูดคุยด้วย โดยแต่ละคนนั้นเป็น "ชาวต่างชาติ" ทั้งหมด

ปาณิสรา ให้เหตุผลว่า สาเหตุที่เลือกคุยเฉพาะชาวต่างชาติ เพราะต้องการ "ฝึกภาษาอังกฤษ" โดยเน้นไปที่ชาวเอเชีย เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ฯลฯ รองลงไปก็จะเป็นแถบยุโรป แต่เวลาคุยกันจะไม่ให้ข้อมูลส่วนตัว ยกเว้นเรื่องอายุ เพศ และส่วนสูง แต่จะไม่บอกน้ำหนัก เพราะไม่มั่นใจในเรื่องรูปร่างหน้าตาของตัวเอง

ผู้ชายที่เข้ามาคุยด้วยแต่ละชาติก็จะแตกต่า งกันออกไป อย่างแถบตะวันออกกลางจะมาในแนวลามก ชวนคุยเรื่องเซ็กส์ บางรายถึงกับโชว์การมีเพศสัมพันธ์ผ่านทางเวบแคมแล้วพูดจาหว่านล้อมให้เราถาม เพื่อให้เขาเกิดอารมณ์ทางเพศ ส่วนฝั่งเอเชียอย่าง เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน หรือจีน จะสุภาพ และพูดจาดีกว่า" นักศึกษาสาวรายนี้ แจกแจงถึงความแตกต่างของหนุ่มไซเบอร์แต่ละสัญชาติ

นอก จากนี้ แม้ทุกคนที่เข้ามาคุยด้วยจะโพสต์รูปเข้ามา แต่เธอก็ไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นรูปจริง เพราะเคยเจอชาวต่างชาติคนหนึ่งเอารูปดาราไทย ซึ่งเธอรู้จักดีมาโพสต์แล้วอ้างว่าเป็นรูปตัวเอง

ปาณ ิสรา ยอมรับด้วยว่า "ติดแชท" มาก โดยจะเล่นแทบทุกวัน ส่วนผู้ปกครองก็รู้ และเคยเตือนอยู่บ่อยๆ แต่เธอก็ไม่คิดจะนัดพบเพื่อนแชทข้างนอก เพราะยังไม่มั่นใจว่าจะเข้ากันได้เหมือนที่คุยในอินเทอร์เน็ตหรือไม่ และกลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นอย่างที่เป็นข่าวบ่อยๆ

" ถ้าเขาคิดจะคุยกับเรานานๆ ก็คงเข้ามาดีๆ อาจจะคุยแบบเพื่อนธรรมดาก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องอื่น เช่น เรื่องส่วนตัวหรือเรื่องครอบครัว ไม่ใช่ว่าคุยกันไม่กี่วันก็นัดเจอ เราจะไปไว้ใจได้ยังไง ยิ่งเป็นชาวต่างชาติด้วย ขนาดคนไทยด้วยกันบางคนยังไว้ใจไม่ได้เลย" สาวนักแชท กล่าวทิ้งท้าย

ด ้าน ผไท บริสุทธิ์ อายุ 23 ปี หนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง กล่าวว่า ส่วนมากจะคุยกับเพื่อนทางเอ็มเอสเอ็นแบบวันต่อวัน แต่ไม่เคยคุยติดต่อกับใครนานๆ พอคุยเสร็จก็ลบทิ้ง ยกเว้นบางคนที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันก็อาจจะเก็บไว้ เพราะเห็นว่าการคุยกันทางอินเทอร์เน็ตคง "หาความจริงใจได้ยาก" เพราะไม่ได้เจอกันซึ่งๆ หน้า และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่เคยใช้ข้อมูลจริงคุยกับอีกฝ่ายเลย

" อย่างเรื่องที่เรียนก็ผมจะบ อกว่าเรียนอยู่มหาวิทยาลัยอื่นหรือคณะอื่น แต่สำหรับรูปที่ใช้จะเป็นดิสเพลย์พิคเจอร์ ซึ่งถือว่าสำคัญมาก เพราะบางคนถ้าไม่เห็นรูปจะไม่ยอมคุยด้วยเลย ส่วนผมถ้ามีคนแปลกหน้าแอดเขามาก็จะเอารูปคนอื่นมาเปลี่ยนทันที" ผไท เผยถึงเทคนิคการแชทเฉพาะตัว

ส่วนการนัดเจอกับเพื่อนแชท หนุ่มรายนี้ บอกว่า แม้จะเป็นผู้ชาย แต่จะไม่ขอไปเจอกันเองเด็ดขาด เพราะรู้สึกว่า "ไม่ปลอดภัย"

ข ณะที่ นครธรรม เจริญรูป อายุ 23 ปี หนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยอีกคน บอกว่า จะเลือกคุยเฉพาะ "คนไทย" เพราะไม่รู้ว่าต่างชาติจะคิดกับเราอย่างไร อีกทั้งไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษ

"ส่วนมากผมจะเลือกคุยก ับเพื่ อนวัยเดียวกัน และเป็นเพศตรงข้ามมากว่า ถ้าเป็นคนแปลกหน้าก็จะคุยด้วย แต่จะไม่จริงจัง ส่วนรูปที่โพสต์เอาไว้ผมไม่เคยเชื่อถือ เพราะคงไม่มีใครกล้าเอารูปจริงมาโพสต์ และส่วนมากเป็นรูปจากที่อื่นหรือรูปแต่งคอมพ์ เพราะทุกคนก็อยากดูดีเสมอ"

ห นุ่มแชทรายนี้ บอกถึงเทคนิคในการแชทว่า จะไม่บอกความจริงทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ ที่อยู่ ฯลฯ และไม่กล้านัดเจอกันด้วย เพราะไม่มั่นใจว่าคนที่คุยด้วยมีเจตนาบริสุทธิ์หรือไม่

" พ่อแม่ยังไม่รู้เลยว่า ผมชอบแชท แต่จะมีเพื่อนที่คอยเตือนอยู่เสมอ สำหรับผมจะแชทเพื่อหาเพื่อนคุยคลายเครียดมากกว่า และไม่อยากให้คนอื่นจริงจังกับการแชทมากไปจนลืมโลกแห่งความเป็นจริง" หนุ่มนักแชท ฝากทิ้งท้ายไว้ให้คิด

ปิดท้ายด้วย ลัดดาวัลย์ ดาษดื่น นักศึกษามหาวิทยาลัยรัฐชื่อดัง บอกว่า เธอจะคุยกับทุกคนที่แอดเข้ามาคุยด้วย ส่วนมากจะคุยกันในเรื่องทั่วไป และไม่ได้ปกปิดข้อมูลส่วนตัวแต่อย่างใด เพราะเห็นว่าข้อมูลอย่างอายุ ชื่อเล่น หรือที่เรียน ก็ไม่ได้มีความจำเป็นที่ต้องจะปิดบัง เพราะถ้าคู่สนทนามารู้ความจริงทีหลังว่าเราโกหกก็อาจจะทำให้รู้สึกไม่ดีหรือ ถึงขั้นเลิกคุยกันไปเลย

สำหรับเรื่องโพสต์รูปตัวเองน ั้น ลัดดาวัลย์ จะใส่บ้างในบางครั้ง แต่ส่วนมากจะไม่ใส่ โดยจะใส่รูปการ์ตูนน่ารักๆ เข้าไปแทน เพราะกลัวจะไม่ปลอดภัย ส่วนรูปที่คู่สนทนาโพสต์ไว้นั้นก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง โดยจะพิจารณาดูว่าคุยกันนานแค่ไหนมากกว่า ถ้าคนที่คุยด้วยใช้รูปคนๆ เดิมมาตั้งแต่ครั้งแรกที่คุยกันจนกระทั่งคุยกันเป็นเวลานานแล้วยังใช้รูปคนเ ดิมก็น่าเชื่อว่าเป็นรูปของเขาจริงๆ

ลัดดาวัลย์ ยังเล่าถึงประสบการณ์นัดเจอกับเพื่อนแชทด้วยว่า เคยนัดเด็กรุ่นน้องที่เจอกันทางเอ็มเอสเอ็นคนหนึ่งมานานหลายเดือน แต่ครั้งนั้นไม่ได้ใช้ชื่อจริง และโกหกเรื่องที่เรียน โดยคุยกันเป็นประจำทุกวันจนสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง จากนั้นก็นัดเจอกันในห้างสรรพสินค้า

"ตอนนั้นไปคนเดี ยว และรู้สึกกลัวมาก แต่พอพบกันแล้วก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะเขาไม่ได้รูปร่างหน้าตาดีอย่างที่เห็นในรูปตอนคุยกัน ตอนนี้เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และยังคุยกันอยู่เป็นประจำ แต่ก็ยังไม่บอกความจริงเรื่องที่โกหกเขาไป" ลัดดาวัลย์ เล่าถึงประสบการณ์เจอเพื่อนแชทครั้งแรก

กระนั้น สาวนักแชทรายนี้ก็ฝากเตือนว่า "การนัดเจอกับคนแปลกหน้าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเสี่ยงเลย เพราะอันตรายสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และถ้าให้นัดเจอกันอีกคงไม่ไปคนเดียวแน่นอน"

ทั้งหมด นั้นคือประสบการณ์ และอุทาหรณ์ของ "นักแชท" ที่อยากถ่ายทอด และแนะนำเพื่อเป็น "อุทาหรณ์" ไม่ให้นักแชทคนอื่นๆ ต้องมากลายเป็นเหยื่อของ "อาชญากร" ในโลกไซเบอร์

"เจ๊เบียบ" เตือนภัยไซเบอร์ แนะ ยกคอมพ์ไว้นอกห้อง

นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช รักษาการ ส.ว.ขอนแก่น ให้ความเห็นว่า คดีนี้ผู้ก่อเหตุมีความโหดเหี้ยมมาก จึงสมควรลงโทษให้หนัก โดยก่อนหน้านี้ก็เคยมีคดีหนุ่มชาวปากีสถานล่อลวงเด็กสาวชั้น ม.5 อายุ 17 ปี ไปข่มขืน หลังจากรู้จักกันทางอินเทอร์เน็ตได้ 3 เดือนจนฝ่ายหญิงเริ่มเกิดความรักใคร่

"ครั้งแรกที่นัดเจอกันฝ่ายชายได้แต่กอดจูบลูบคลำ โดยบอกว่ารัก และจะไม่ทำร้าย แถมให้สัญญาว่า จะพาไปอยู่ด้วยที่ประเทศบังกลาเทศ แต่พอนัดเจอกันครั้งที่สองฝ่ายชายก็พูดจาหว่านล้อมแล้วพาไปข่มขืนในโรงแรม จนผู้ปกครองเริ่มสังเกตเห็นว่า ฝ่ายหญิงมีอาการซึมผิดปกติ จึงเค้นถาม และรู้ความจริง ขณะนี้คดีอยู่ในชั้นศาล" นางระเบียบรัตน์ กล่าวถึงภัยร้ายในโลกไซเบอร์

"พ่อของเด็กคนนี้มาพูดกับดิฉันว่า ตอนที่แม่เขาตายยังไม่เสียใจเท่ากับลูกสาวถูกหลอกไปทำมิดีมิร้าย และไม่น่าเชื่อว่า คำบอกรักของผู้ชายที่เพิ่งรู้จักเพียงคำเดียวเท่านั้น สามารถเผด็จศึกเด็กสาวได้ ดิฉันจึงเชื่อว่า น่าจะมีเด็ก และผู้หญิงไทยที่ถูกล่อลวงแบบนี้อีกหลายคน แต่ไม่มีใครกล้าออกมาเปิดเผย" นางระเบียบรัตน์ กล่าวด้วยความเป็นห่วง

รักษาการ ส.ว.ขอนแก่น มองว่า แม้เทคโนโลยีจะก้าวไปไกล และไร้พรมแดน แถมยังมีข้อดีในแง่ของการฝึกภาษา และได้แลกเปลี่ยนทัศนคติกัน แต่บางครั้งก็มีโทษ เพราะบางคนอาจถูกหลอกจนเคลิบเคลิ้ม ข้าวปลาไม่ยอมกินจนถึงขั้นที่เรียกว่า "เสพติดทางอารมณ์" จนก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาได้

ดังนั้น "ภูมิคุ้มกัน" ที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ก็คือ "พ่อแม่" อย่าปล่อยให้ลูกอยู่ตามลำพัง

ส่วน "เครื่องคอมพิวเตอร์" อย่าเอาไว้ในห้องนอนของลูก เพราะถ้าอยู่ในนั้นเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าลูกกำลังทำอะไร และควรนำมาไว้ในที่ที่เราสามารถดูได้ว่าลูกกำลังเล่นอะไรอยู่

อัฐพนธ์ แดงเลิศ/สุดารัตน์ คำอาจ


komchadluek

ไม่มีความคิดเห็น: